1. การเตรียมดิน สามารถแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ
1.1 การปลูกมะม่วงในพื้นที่มีน้ำแฉะขัง หรือการระบายน้ำไม่ดีหรือมีระดับน้ำใต้ดินสูง ซึ่งพบในพื้นที่สูงที่เป็นพื้นที่นามาก่อน จะต้องยกร่อง ระหว่างแปลงปลูกทำเป็นร่องน้ำหรือร่องระบายน้ำ ซึ่งสามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูร้อนและระบายน้ำได้ในฤดูฝน
1.2 การปลูกมะม่วงในสภาพพื้นที่ดอน พื้นที่สูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ดอนควรมีการเตรียมพื้นที่ให้สะอาด และจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและในกรณีที่พื้นที่มีความลาดชันสูง เช่น การทำขั้นบันไดดิน การทำคูรับน้ำขอบเขาหรือการปลูกหญ้าแฝก เป็นต้น จากนั้นก็สามารถกำหนดระยะปลูกเพื่อเตรียมขุดหลุมปลูกได้
ปัจจุบันการปลูกมะม่วงมีระบบการปลูกอยู่ 2 ลักษณะคือ ระบบการปลูกชิดและระบบการปลูกห่าง ในการปลูกชิดนั้นยังไม่แนะนำเพราะเป็นการลงทุนสูงและต้องใช้แรงงานในการดูแลรักษามากกว่าการปลูกแบบห่าง ในการปลูกแบบห่างปกติแล้วมักจะใช้ระยะปลูกประมาณ 8-10 x 8-10 เมตร ซึ่งจะปลูกได้ไร่ละประมาณ 16-25 ต้น ขึ้นอยู่กับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำจะใช้ระยะปลูกถี่ เพราะมะม่วงจะโตช้า แต่ดินที่อุดมสมบูรณ์จะปลูกห่าง เพราะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ปัจจุบันอาจปลูกให้ถี่ขึ้น โดยใช้ระยะ 4 x 6 เมตร หรือ 5 x 7 เมตร เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น
เมื่อขุดหลุมแล้วนำเอาดินที่ได้จากหลุมที่ขุดนั้นมาคลุกเคล้ากับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก จำนวนที่ใส่ประมาณ 1-4 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดของหลุม และควรผสมปุ๋ยร็อกฟอสเฟตอีก 1-2 กิโลกรัมต่อหลุม จากนั้นกลบดินลงไปในหลุมให้เต็ม
ในการปลูกนั้นเมื่อขุดหลุมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วก็จะกลบดินที่ผสมปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกให้พูนสูงกว่าระดับดินเดิม 20-30 เซนติเมตร นำกิ่งพันธุ์มะม่วงมาปลูกโดยตรวจสอบว่ากิ่งพันธุ์นั้นมีรากขดกันเป็นก้อนที่เรียกว่า รากขัดสมาธิหรือไม่ ถ้ามีต้องตัดออกก่อน เพราะจะทำให้ระบบรากไม่แผ่กระจายออก ทำให้ต้นแคระแกร็น จากนั้นเจาะหลุมและนำมะม่วงต้นกล้าลงปลูกโดยให้รอยแผลของกิ่งทาบอยู่เหนือดิน ใช้ไม้รวกปักแล้วใช้เชือกมัดยึดกับลำต้นเพื่อกันลมโยก ถ้าแสงแดดจัดอาจพรางแสงด้วยวัสดุต่างๆ เช่น ทางมะพร้าว โดยพรางแสงแดดทางทิศตะวันตกเพราะในช่วงบ่ายที่อุณหภูมิของวันจะสูงที่สุด สำหรับผ้าพลาสติกพันรอยทาบควรนำออกหลังจากการปลูกไปแล้ว 2-3 เดือน เพื่อป้องกันรอยทาบจะแยกจากกัน เมื่อปลูกเสร็จแล้วใช้มือกลบดินบริเวณโคนกิ่งให้แน่นแล้วรดน้ำให้ชุ่ม เพื่อให้ดินจับแน่นกับราก สำหรับการปลูกต้นตอที่เพาะจากเมล็ดลงไปในแปลงก่อนก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่อาจจะพิถีพิถันน้อยกว่าการปลูกด้วยต้นพันธุ์ ในการปลูกต้นตอก่อนนั้นจะมีประโยชน์คือ ประหยัดค่าใช้จ่ายและต้นมีระบบรากแก้วที่แข็งแรง แต่จะต้องเสียเวลามาเปลี่ยนยอดพันธุ์ให้เป็นพันธุ์ดีภายหลังเมื่อต้นตั้งตัวแล้ว ปกติมักจะเปลี่ยนยอดพันธุ์หลังจากการปลูกไปแล้ว 8 เดือน
ปกติแล้วการปลูกมะม่วงจะทำในฤดูฝนซึ่งสภาพอากาศชุ่มชื้น แต่ถ้าหากหลังจากปลูกไปแล้วฝนไม่ตก จำเป็นจะต้องรดน้ำทุก 2-3 วัน เมื่อมะม่วงตั้งตัวได้ก็สามารถขยายระยะการให้น้ำเป็น 3-5 วันต่อครั้ง และ 7-10 วันต่อครั้ง ตามลำดับ และเมื่อผ่านพ้นปีแรกไปแล้วอาจจะให้น้ำทุก 15-20 วัน เพื่อไม่ให้ต้นมะม่วงชะงักการเจริญเติบโต ซึ่งปกติแล้วในสภาพพื้นที่ยกร่องจะมีปัญหาน้อยกว่าที่ดอน เนื่องจากระดับน้ำใต้ดินสูง
- ปุ๋ยอินทรีย์
เป็นปุ๋ยที่ได้จากซากพืชซากสัตว์ ช่วยให้ดินโปร่งอากาศและน้ำซึมผ่านได้สะดวกแก้ไขดินเหนียวให้ร่วน ช่วยให้ดินทรายจับตัวกันดีขึ้น และทำให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เป็นประโยชน์ต่อต้นไม้มากขึ้น ปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหารทุกอย่างครบ แต่มีอยู่ในปริมาณต่ำจึงควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยวิทยาศาสตร์จะเป็นประโยชน์ต่อต้นมะม่วงยิ่งขึ้น
- ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เป็นปุ๋ยที่ได้จากสินแร่ในธรรมชาติหรือจากการสังเคราะห์ขึ้น ซึ่งปุ๋ยเหล่านี้จะให้ธาตุอาหารต่อน้ำหนักมากกว่าปุ๋ยอินทรีย์ ปริมาณปุ๋ยที่จะให้ในแต่ละต้นคิดเป็นจำนวนกิโลกรัมนั้น คำนวณได้จากอายุของต้นมะม่วงเป็นปี หารด้วยสองเท่ากับจำนวนปุ๋ยกิโลกรัมของปุ๋ย หรือใช้เส้นผ่าศูนย์กลางของพุ่มต้นมะม่วงเป็นเมตรเท่ากับจำนวนกิโลกรัมของปุ๋ยต่อต้นต่อปีก็ได้ การใส่ปุ๋ยมะม่วงในแต่ละระยะทำได้ดังนี้
- ระยะหลังตัดแต่งกิ่ง ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ต้นละ 2 กิโลกรัม เพื่อให้กิ่งก้านใบที่แตกออกมามีความสมบูรณ์แข็งแรง และใส่ปุ๋ยคอก 4-5 บุ้งกี๋ร่วมเข้าไปด้วย
- ระยะก่อนหมดฤดูฝน คือช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่ต้องการให้มะม่วงหยุดการเจริญเติบโตทางกิ่งก้าน และเตรียมตัวสำหรับการออกดอก ระยะนี้ควรลดปริมาณปุ๋ยธาตุไนโตรเจนให้ต่ำลง ถ้าเป็นดินร่วนหรือดินทรายแนะนำให้ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 แต่ในดินเหนียวแนะนำให้ใช้สูตร 12-24-12 ต้นละ 2 กิโลกรัม
- ระยะก่อนออกดอก ระยะก่อนออกดอกแต่ยังไม่แทงดอก เป็นช่วงที่บางครั้งจะมีฝนหลงฤดูหรือในบางเขตที่ฝนหมดช้า จะให้ปุ๋ยทางใบเพื่อกดไม่ให้แตกใบอ่อนอาจใช้ปุ๋ยสูตร 0-52-34 หรือ NB. 86 ฉีดพ่นอัตรา 100-150 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1-2 ครั้งห่างกัน 10-14 วัน
- ระยะติดผล เมื่อผลมะม่วงติดผลขนาดหัวไม้ขีดจนถึงอายุ 12 สัปดาห์ จะเป็นช่วงที่ผลมะม่วงมีการเจริญเติบโตของผลอย่างรวดเร็ว ถ้าติดผลดกและอาหารไม่เพียงพอ ผลจะเล็กแคระแกร็น ในระยะนี้ในแหล่งที่มีน้ำชลประทานแนะนำให้ใส่ปุ๋ยทางดินสูตร 15-15-15 อัตราต้นละ 1-2 กิโลกรัม แต่ในแหล่งที่ไม่มีน้ำให้ใช้ปุ๋ยทางใบสูตร 21-21-21 ในอัตรา 2-3 ช้อนแกงผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 2 สัปดาห์ ประมาณ 5 ครั้ง
- ระยะก่อนการเก็บเกี่ยว เป็นระยะที่เมล็ดของมะม่วงมีเปลือกหุ้มเมล็ดเริ่มแข็งขึ้นโดยทั่วไปเรียกว่า “เข้าไคล” อาจเพิ่มคุณภาพผลด้านความหวานิความกรอบ โดยใช้ปุ๋ยทางใบ เช่น 13-0-46 หรือ โพแทสเซี่ยมคลอไรด์ 0-0-60 อัตรา 50 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1-2 ครั้ง ห่างกันหนึ่งสัปดาห์ก็ได้
มะม่วงมีลักษณะการออกดอกเป็นช่อ จึงมักจะมีการติดผลได้มากกว่า 1 ผลในช่อ ดังนั้นเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพดีจึงต้องทำการปลิดผลให้เหลือ 1-2 ผลต่อช่อ เท่านั้น เพื่อให้ผลได้รับอาหารและแสงอย่างเต็มที่ โดยเลือกตัดเอาผลที่ไม่สมบูรณ์ทิ้ง และนอกจากนี้ยังต้องตัดแต่งเอาก้านแขนงของช่อดอกที่ไม่ติดผลออกด้วย เพราะจะเสียดสีทำให้ผิวผลไม่สวย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น